ในโลกของบิทคอยน์และคริปโตเคอเรนซี่ คำว่า “SegWit” หรือ “Segregated Witness” (อ่านว่า เซก-เกอ-เรด-วิด-เหนด) ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรมและการรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่ายบิทคอยน์ ในบทความนี้เราจะมาดูว่า SegWit คืออะไร ทำงานอย่างไร และวิธีใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในการเทรดหรือทำธุรกรรมบิทคอยน์
สารบัญ
SegWit คืออะไร?
SegWit หรือ Segregated Witness คือการปรับปรุงโปรโตคอลของบิทคอยน์ที่ถูกเสนอในปี 2015 และนำมาใช้จริงในปี 2017 โดยนักพัฒนาชื่อ Pieter Wuille ซึ่งการอัปเดตนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ปัญหาหลายประการในเครือข่ายบิทคอยน์ เช่น การลดปริมาณข้อมูลที่ใช้ในแต่ละธุรกรรม และการแก้ปัญหาด้านการปรับขนาด (scalability) ของบล็อกเชน
ระบบทำงานโดยการแยกข้อมูลลายเซ็นดิจิทัล (digital signature) ออกจากธุรกรรมหลัก และย้ายไปเก็บไว้ในส่วนแยกต่างหาก ข้อมูลลายเซ็นนี้เป็นข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบธุรกรรมว่าเป็นของจริงหรือไม่ การแยกข้อมูลลายเซ็นออกจากข้อมูลหลักช่วยลดขนาดของธุรกรรม ทำให้สามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้นในแต่ละบล็อก ซึ่งช่วยให้บล็อกเชนสามารถรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน
ความสำคัญของ SegWit ต่อบิทคอยน์
SegWit มีความสำคัญต่อการพัฒนาบิทคอยน์ด้วยหลายสาเหตุ ดังนี้ครับ
1. ปรับปรุงการขยายตัวของเครือข่าย
ก่อนที่ SegWit จะถูกนำมาใช้ บล็อกในเครือข่ายบิทคอยน์มีขนาดจำกัดอยู่ที่ 1MB ซึ่งสามารถบรรจุธุรกรรมได้น้อยและทำให้เกิดปัญหาความแออัดในเครือข่าย แต่หลังจากมีการนำ SegWit มาใช้ การแยกลายเซ็นออกจากธุรกรรมช่วยลดขนาดข้อมูลของแต่ละธุรกรรม ส่งผลให้สามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้นในบล็อกเดียวกัน
นอกจากนี้ การลดขนาดของธุรกรรมยังช่วยลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอีกด้วย เนื่องจากค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับขนาดข้อมูลที่ส่งผ่านในเครือข่าย ดังนั้น การใช้ SegWit สามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมได้
2. แก้ไขปัญหา Transaction Malleability
ก่อนที่ SegWit จะถูกนำมาใช้ ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในบิทคอยน์คือ “Transaction Malleability” หรือการปรับเปลี่ยนข้อมูลลายเซ็นของธุรกรรมในเครือข่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดการโจมตีระบบหรือความไม่แน่นอนในการยืนยันธุรกรรม
ด้วย SegWit การแยกข้อมูลลายเซ็นออกจากข้อมูลธุรกรรมหลักช่วยลดโอกาสในการโจมตีประเภทนี้ได้ เพราะข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมถูกแยกออกไปและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย ทำให้การทำธุรกรรมในเครือข่ายบิทคอยน์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
3. ความพร้อมสำหรับการพัฒนาในอนาคต
SegWit เปิดทางให้บิทคอยน์รองรับการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น Lightning Network ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมและลดค่าธรรมเนียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำธุรกรรมแบบ off-chain ที่ไม่จำเป็นต้องบันทึกลงในบล็อกเชนหลัก ทำให้เครือข่ายบิทคอยน์มีความสามารถในการรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
วิธีใช้ประโยชน์จาก SegWit กับบิทคอยน์
เมื่อคุณทราบแล้วว่า SegWit คืออะไรและสำคัญอย่างไร ต่อไปนี้คือวิธีใช้ประโยชน์จาก SegWit ในการทำธุรกรรมบิทคอยน์ครับ
1. ใช้กระเป๋าเงิน (Wallet) ที่รองรับ SegWit
หากคุณต้องการใช้ SegWit ในการทำธุรกรรมบิทคอยน์ คุณจำเป็นต้องมี กระเป๋าเงินดิจิทัล (wallet) ที่รองรับ SegWit ซึ่งในปัจจุบันมีกระเป๋าเงินหลายแบบที่รองรับการทำงานของ SegWit เช่น Electrum, Trezor, Ledger Nano S และอื่น ๆ
การใช้กระเป๋าเงินที่รองรับ SegWit จะช่วยให้คุณสามารถทำธุรกรรมบิทคอยน์ได้รวดเร็วขึ้นและจ่ายค่าธรรมเนียมที่ต่ำลง โดยกระเป๋าเงินเหล่านี้จะสร้างที่อยู่บิทคอยน์แบบ SegWit ซึ่งมักมีลักษณะขึ้นต้นด้วยเลข “3” หรือ “bc1”
2. ใช้ Lightning Network
เมื่อคุณเริ่มใช้ SegWit คุณสามารถใช้ Lightning Network ซึ่งเป็นโซลูชั่นชั้นนำในการทำธุรกรรมแบบ off-chain Lightning Network จะช่วยให้คุณสามารถทำธุรกรรมบิทคอยน์ได้ทันทีและจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องจ่ายเลย เนื่องจากธุรกรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบันทึกลงบล็อกเชนโดยตรง
เพื่อเริ่มใช้ Lightning Network คุณต้องใช้ กระเป๋าบิทคอยน์ ที่รองรับ เช่น Electrum หรือ Phoenix จากนั้นคุณสามารถทำธุรกรรมกับเครือข่าย Lightning ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำธุรกรรมขนาดเล็ก เช่น การชำระเงินรายวัน
3. ประหยัดค่าธรรมเนียมในการโอนบิทคอยน์
หนึ่งในประโยชน์หลักของการใช้ SegWit คือการประหยัดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม หากคุณทำธุรกรรม ซื้อบิทคอยน์ เป็นประจำ การใช้ที่อยู่ SegWit จะช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย เนื่องจากขนาดข้อมูลที่ส่งผ่านในแต่ละธุรกรรมจะเล็กลง ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมต่ำลงตามไปด้วย
การลดค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เครือข่ายบิทคอยน์มีปริมาณธุรกรรมสูง ทำให้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น การใช้ SegWit สามารถช่วยให้คุณทำธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
SegWit และการพัฒนาบล็อกเชนในอนาคต
การใช้งาน SegWit ไม่ได้เป็นเพียงแค่การปรับปรุงบิทคอยน์ในแง่ของการแก้ปัญหาธุรกรรมที่ช้าหรือค่าธรรมเนียมสูง แต่ยังเปิดประตูให้กับการพัฒนาต่าง ๆ ที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ระบบบล็อกเชนสามารถรองรับการใช้งานในวงกว้างได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นตัวอย่างบางประการที่แสดงถึงวิธีการที่ SegWit มีส่วนในการพัฒนาบล็อกเชนในอนาคต
1. Lightning Network
หนึ่งในประโยชน์หลักของ SegWit คือการสนับสนุนการใช้งานของ Lightning Network ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาเพื่อลดการใช้ทรัพยากรในบล็อกเชนหลัก และช่วยให้สามารถทำธุรกรรมขนาดเล็กจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว Lightning Network เป็นระบบชั้นที่สอง (Layer 2) ที่ทำงานบนบิทคอยน์ ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมสามารถดำเนินการนอกบล็อกเชนหลักได้ และหลังจากนั้นจึงค่อยรวมข้อมูลไปยังบล็อกเชนหลักในภายหลัง โดยไม่ต้องรอการยืนยันจากทุกโหนดในเครือข่ายทันที
ด้วยการใช้ Lightning Network การทำธุรกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งทำให้สามารถนำบิทคอยน์ไปใช้ในการชำระเงินรายวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้บิทคอยน์เป็นระบบการเงินที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น
2. การพัฒนาบล็อกเชนในอนาคต
มื่อ SegWit แก้ไขปัญหาการแก้ไขธุรกรรม (transaction malleability) การพัฒนาใหม่ ๆ เช่น smart contracts และ atomic swaps ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นบนเครือข่ายบิทคอยน์ Smart contracts คือสัญญาอัจฉริยะที่สามารถทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปตามเงื่อนไขอัตโนมัติ ซึ่งเปิดประตูสู่การพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่ทำงานบนบิทคอยน์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น
💡สาระน่ารู้ 💡 |
Atomic swaps เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ SegWit ทำให้เป็นไปได้ โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตระหว่างกันได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางอย่างเช่นตลาดซื้อขายเงินคริปโต ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม |
3. การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในบล็อกเชนบิทคอยน์
SegWit ยังเป็นการเปิดทางให้สามารถพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับบล็อกเชนบิทคอยน์ในอนาคต ซึ่งอาจเป็นการปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโอกาสสำหรับการปรับปรุงการขยายตัว (scalability) ของเครือข่ายด้วยการใช้โซลูชั่นแบบ off-chain เพื่อเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมที่เครือข่ายบิทคอยน์สามารถรองรับได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดบล็อกโดยตรง
การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยทำให้บิทคอยน์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้ใช้ในระยะยาวได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้บิทคอยน์ยังคงเป็นผู้นำในวงการคริปโตเคอเรนซี่ไปอีกหลายปี
ข้อควรระวังในการใช้งาน SegWit
ถึงแม้ว่า SegWit จะมีประโยชน์มากมาย แต่ยังมีข้อควรระวังที่ผู้ใช้งานควรทราบ ตัวอย่างเช่น บางแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนบิทคอยน์หรือกระเป๋าเงินยังไม่รองรับ SegWit ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมผ่านที่อยู่ SegWit ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ นักขุดบิทคอยน์บางรายยังคงใช้วิธีการขุดแบบเก่าและไม่รองรับ SegWit ทำให้ธุรกรรมที่ใช้ SegWit อาจใช้เวลานานขึ้นในการยืนยันเมื่อเทียบกับธุรกรรมแบบดั้งเดิม
สรุป Segwit คืออะไร
SegWit หรือ Segregated Witness เป็นการปรับปรุงที่สำคัญของบิทคอยน์ที่ช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการปรับขนาด ปัญหาความปลอดภัย และช่วยเปิดทางให้บิทคอยน์รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Lightning Network ได้ หากคุณต้องการทำธุรกรรมบิทคอยน์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และประหยัดค่าธรรมเนียม การใช้ SegWit ผ่าน กระเป๋าบิทคอยน์ ที่รองรับและการใช้ประโยชน์จาก Lightning Network เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ด้วยการใช้ SegWit ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสามารถทำธุรกรรมบิทคอยน์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณได้รับประโยชน์ในด้านค่าธรรมเนียมที่ต่ำลง ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ใช้บิทคอยน์ ควรพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ที่อยู่ SegWit เพื่อให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มที่
ข้อมูลอ้างอิง Segwit Explaned https://cointelegraph.com/explained/segwit-explained |
Segregated Witness (SegWit): Definition https://www.investopedia.com/terms/s/segwit-segregated-witness.asp |
A Beginner’s Guide to Segregated Witness (SegWit) https://academy.binance.com/en/articles/a-beginners-guide-to-segretated-witness-segwit.amp |